HOME ดูบ้านหน้าฝน: สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

HOME ดูบ้านหน้าฝน: สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

HOME ดูบ้านหน้าฝน: สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

เคล็ดลับง่ายๆ ในการดูบ้านหน้าฝนให้ได้ประโยชน์สูงสุด

สวัสดีค่ะคุณลูกค้าที่น่ารักทุกท่าน! วันนี้ชยาจะมาคุยสบายๆ สไตล์คนกันเองถึงเรื่อง “ดูบ้านหน้าฝน” หลายคนอาจจะคิดว่า “โอ๊ย! หน้าฝน รถก็ติด น้ำก็ท่วม จะไปดูบ้านไหวเหรอ?” ชยาเข้าใจเลยค่ะ แต่เชื่อไหมค่ะว่าการดูบ้านในช่วงหน้าฝนเนี่ย มันก็มีข้อดีที่หลายคนคาดไม่ถึงเลยนะคะ แถมเรายังได้เห็นอะไรพิเศษๆ ที่ฤดูอื่นมองข้ามไปอีกด้วย!

มาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า ข้อดีของการดูบ้านหน้าฝน มีอะไรบ้าง:

  • เห็นของจริง ไม่มีหมกเม็ดเรื่องน้ำ: นี่แหละค่ะไฮไลท์! หน้าฝนตกหนักๆ เราจะได้เห็นเลยว่าบ้านหลังนี้มีปัญหาน้ำท่วมขังในบริเวณบ้านไหม ท่อระบายน้ำเป็นยังไง น้ำไหลเร็ว ระบายทัน หรือเอื่อยเฉื่อยจนน่าห่วง ถ้าเจอที่น้ำท่วมซ้ำซาก เราจะได้รู้แต่เนิ่นๆ ตัดสินใจได้ทัน ไม่ต้องมาปวดหัวทีหลังแน่นอนค่ะ
  • เช็กระบบระบายน้ำรอบบ้าน: นอกจากในบ้านแล้ว รอบๆ บ้านก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ ลองสังเกตดูว่าน้ำฝนที่ตกลงมามีการระบายที่ดีไหม ไหลลงท่อสะดวก หรือมีแอ่งน้ำขังตามทางเดิน สนามหญ้า ถ้าเจอปัญหาตรงนี้ จะได้คุยกับโครงการเรื่องการแก้ไขก่อนตัดสินใจซื้อค่ะ
  • สำรวจรอยรั่วซึมแบบเน้นๆ: ฝนตกหนักๆ นี่แหละค่ะคือตัวช่วยชั้นดีในการตรวจสอบรอยรั่วซึมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลังคา ผนัง ขอบหน้าต่าง หรือประตู ถ้ามีปัญหา เราจะได้เห็นคราบน้ำ หรือร่องรอยความชื้นให้เห็นชัดๆ ไปเลยค่ะ
  • ต่อรองราคา: ในช่วงหน้าฝน อาจจะไม่ใช่ช่วงที่คนออกมาดูบ้านกันเยอะเท่าไหร่ ทำให้เราอาจจะมีโอกาสในการต่อรองราคาได้มากขึ้นค่ะ

แต่แน่นอนค่ะว่าการดูบ้านหน้าฝนก็ต้อง เจอกับอุปสรรค เหมือนกัน:

  • การเดินทางที่แสนจะท้าทาย: อันนี้ยอมรับเลยค่ะ ฝนตกหนักๆ รถติด น้ำท่วม ทำให้การเดินทางไปดูบ้านเป็นเรื่องที่เหนื่อยและเสียเวลามากขึ้น ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางเยอะๆ เลยค่ะ
  • ความไม่สะดวกในการเดินสำรวจ: พื้นเปียก ลื่น เฉอะแฉะ อาจจะทำให้เราไม่สะดวกในการเดินสำรวจรอบๆ บ้าน หรือบริเวณโครงการได้อย่างเต็มที่ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษค่ะ
  • ทัศนียภาพที่ไม่สวยงามเท่าที่ควร: วันที่ฝนตก ฟ้าครึ้ม อาจจะทำให้เรามองเห็นรายละเอียดของบ้าน หรือบรรยากาศโดยรวมของโครงการได้ไม่ชัดเจนเท่าวันที่อากาศแจ่มใส
  • อาจจะไม่ได้เห็นกิจกรรมส่วนกลาง: ถ้าฝนตกหนัก กิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ ของโครงการ เช่น สระว่ายน้ำ สนามเด็กเล่น อาจจะปิดให้บริการ ทำให้เราไม่เห็นภาพการใช้งานจริง
  • ความเสี่ยงต่อสุขภาพ: การเดินทางฝ่าฝนอาจจะทำให้เราไม่สบายได้ อย่าลืมพกร่ม เสื้อกันฝน และดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

แล้วเราควรทำยังไงดี?

ถ้าคุณลูกค้ามีความสนใจบ้านหลังไหนเป็นพิเศษ และสะดวกที่จะเดินทางในช่วงหน้าฝนได้ ชยาแนะนำว่าลองนัดเข้ามาดูบ้านได้เลยค่ะ แต่ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม อาจจะโทรนัดหมายล่วงหน้าเพื่อเช็กสภาพอากาศ และสอบถามถึงความพร้อมของบ้านที่จะเข้าชม

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • โทรนัดหมายล่วงหน้า: เพื่อให้เราได้เตรียมตัวต้อนรับคุณลูกค้าอย่างดี และตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทาง
  • เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม: ร่ม เสื้อกันฝน รองเท้าที่กันน้ำได้ ทิชชู่เปียก อย่าให้ฝนเป็นอุปสรรคค่ะ
  • เผื่อเวลาเดินทาง: รถอาจจะติดกว่าปกติ ออกเดินทางก่อนเวลานัดหมายสักหน่อยก็ดีค่ะ
  • สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: อย่าลังเลที่จะสอบถามทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับบ้านและโครงการในช่วงหน้าฝนนะคะ

สุดท้ายนี้ ชยาอยากจะบอกว่า การดูบ้านไม่ว่าจะฤดูไหน ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปค่ะ สำคัญที่สุดคือการที่เราได้เห็นบ้านในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง และได้ข้อมูลครบถ้วนเพื่อประกอบการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณลูกค้าเองคะ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือต้องการนัดหมายเข้าชมบ้าน สามารถติดต่อชยาได้ตลอดเลยนะคะ ยินดีให้บริการค่ะ! 😊

More From This Category

เลือกคอนโดทิศไหนให้ตรงกับ Life Stlye

เลือกคอนโดทิศไหนให้ตรงกับ Life Stlye

นอกจากทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบายและการออกแบบโครงการที่ถูกใจแล้ว การเลือกทิศของคอนโดก็สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว มาดูกันว่าทิศไหนจะเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณมากที่สุด.

read more
Ideas ตกแต่งระเบียงคอนโดขนาดเล็ก ให้สวย เก๋ และใช้งานได้จริง

Ideas ตกแต่งระเบียงคอนโดขนาดเล็ก ให้สวย เก๋ และใช้งานได้จริง

รวมไอเดียตกแต่งระเบียงคอนโดขนาดเล็กยอดนิยม! พบวิธีจัดระเบียงให้สวยงาม ใช้ประโยชน์ได้จริง แม้มีพื้นที่จำกัด พร้อมคำแนะนำในการเลือกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่เหมาะสม.

read more
Tips เคล็ดลับเด็ดรับมือพายุฤดูร้อน

Tips เคล็ดลับเด็ดรับมือพายุฤดูร้อน

สวัสดีเพื่อนบ้านทุกท่าน! เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนทีไร นอกจากอากาศจะร้อนอบอ้าวแล้ว สิ่งที่มาคู่กันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ “พายุฝน” นั่นเอง! ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ วันนี้จะมาแชร์เคล็ดลับง่าย ๆ สไตล์เพื่อนบ้าน มาดูกันเลย!

read more

Home ซื้อบ้านหรือเช่าบ้านดีกว่ากัน?

Home ซื้อบ้านหรือเช่าบ้านดีกว่ากัน?

สวัสดีค่ะ!! มาดูกันว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้ การซื้อบ้านกับการเช่าบ้าน แบบไหนจะน่าสนใจกว่ากัน บอกเลยว่าไม่มีคำตอบตายตัว เพราะแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเป้าหมายของแต่ละคนเลยค่ะ

ซื้อบ้าน: สร้างความมั่นคง เป็นสินทรัพย์ แต่ภาระเยอะกว่า

การซื้อบ้านคือการ สร้างความมั่นคงในระยะยาว บ้านเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต แถมยังเป็นของเราเอง จะตกแต่ง ต่อเติม หรือทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ทำให้รู้สึกเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ การผ่อนบ้านยังเหมือนเป็นการ ออมเงินไปในตัว ทุกงวดที่เราจ่ายไป ส่วนหนึ่งจะไปลดเงินต้น ทำให้เรามีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่แน่นอนว่าการซื้อบ้านก็มาพร้อมกับ ภาระทางการเงินที่มากกว่า ตั้งแต่เงินดาวน์ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ค่าตกแต่ง ค่าเฟอร์นิเจอร์ ไหนจะค่าผ่อนบ้านรายเดือนที่ต้องรับผิดชอบไปอีกหลายปี แถมยังมีค่าใช้จ่ายจุกจิกในการบำรุงรักษา ซ่อมแซมบ้านตามมาอีก
สถานการณ์ปัจจุบัน: ดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจผันผวน ต้องคิดให้รอบคอบ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง การกู้เงินซื้อบ้านอาจจะต้องคิดหนักหน่อย เพราะภาระดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายในแต่ละเดือนจะสูงขึ้น ทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนสูงตามไปด้วย
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา หากเราไม่มั่นใจในความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว การเช่าบ้านอาจจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

เช่าบ้าน: อิสระ คล่องตัว แต่ไม่มีสินทรัพย์

การเช่าบ้านเนี่ย ข้อดีหลักๆ เลยคือ ความคล่องตัวสูง อยากย้ายเมื่อไหร่ก็ทำได้ง่ายกว่า ไม่ต้องผูกมัดกับที่อยู่อาศัยนานๆ เหมาะมากสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตทำงาน ยังไม่แน่ใจว่าจะปักหลักที่ไหน หรือคนที่ต้องการเก็บเงินก้อนเพื่อเป้าหมายอื่นก่อน
อีกข้อดีคือ ภาระทางการเงินเริ่มต้นน้อยกว่า ไม่ต้องมีเงินดาวน์ก้อนใหญ่ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาบ้าน ค่าประกันภัย หรือภาษีที่ดิน ซึ่งเป็นภาระของผู้ให้เช่าไป
แต่ข้อเสียของการเช่าบ้านก็มีนะคะ คือ ไม่มีสินทรัพย์เป็นของตัวเอง จ่ายค่าเช่าไปเท่าไหร่ก็เหมือนจ่ายทิ้งไป แถมยังต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของบ้าน อาจจะมีการปรับขึ้นค่าเช่า หรือไม่ได้รับการต่อสัญญาเช่าในอนาคต

แล้วแบบไหนน่าสนใจกว่ากัน?

อย่างที่บอกไปว่าไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่ลองพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ดูนะคะ:
* สถานะทางการเงิน: มีเงินออมมากน้อยแค่ไหน สามารถผ่อนบ้านได้โดยไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ หรือเปล่า
* ความมั่นคงในหน้าที่การงาน: มั่นใจกับงานที่ทำอยู่มากน้อยแค่ไหน มีโอกาสย้ายที่ทำงานในอนาคตอันใกล้หรือไม่
* เป้าหมายในชีวิต: ต้องการสร้างครอบครัว มีแผนที่จะปักหลักในระยะยาว หรือยังอยากมีอิสระในการเปลี่ยนแปลง
* ไลฟ์สไตล์: ชอบความคล่องตัวในการย้ายที่อยู่ หรือชอบความมั่นคงและเป็นส่วนตัวของการมีบ้านเป็นของตัวเอง

สรุปง่ายๆ:

* ซื้อบ้าน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความมั่นคง สร้างสินทรัพย์ มีแผนที่จะอยู่อาศัยในระยะยาว และมีความพร้อมทางการเงิน
* เช่าบ้าน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคล่องตัว ภาระเริ่มต้นน้อย ยังไม่พร้อมสำหรับภาระระยะยาว หรือยังไม่แน่ใจว่าจะปักหลักที่ไหน

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจนะคะ ลองชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียให้ดี แล้วเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์กับสถานการณ์และเป้าหมายของคุณที่สุดคะ!!

Blog

HOME ดูบ้านหน้าฝน: สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

HOME ดูบ้านหน้าฝน: สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

วางแผนซื้อบ้านช่วงหน้าฝน? มาดูสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้คุณได้บ้านที่ถูกใจ ไม่มีปัญหาน้ำท่วม รั่วซึม พร้อมเคล็ดลับการตรวจเช็คบ้านอย่างละเอียด.

Ideas ตกแต่งระเบียงคอนโดขนาดเล็ก ให้สวย เก๋ และใช้งานได้จริง

Ideas ตกแต่งระเบียงคอนโดขนาดเล็ก ให้สวย เก๋ และใช้งานได้จริง

รวมไอเดียตกแต่งระเบียงคอนโดขนาดเล็กยอดนิยม! พบวิธีจัดระเบียงให้สวยงาม ใช้ประโยชน์ได้จริง แม้มีพื้นที่จำกัด พร้อมคำแนะนำในการเลือกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่เหมาะสม.

Email

contact@laroseproperty.com

Phone

086-440-1768,

065-632-7897

Bangkok, Thailand 

Follow

@laroseproperty

Condo คู่มือเตรียมตัวซื้อคอนโดฉบับเข้าใจง่าย

Condo คู่มือเตรียมตัวซื้อคอนโดฉบับเข้าใจง่าย

สวัสดีค่ะ! กำลังมองหาคอนโดสักห้องอยู่ใช่ไหมค่ะ? เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญเลยทีเดียว ก่อนที่จะเคาะเลือกห้องที่ถูกใจ มีหลายเรื่องที่เราควรจะพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อให้การซื้อคอนโดครั้งนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ชีวิตของเราในระยะยาว มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้างที่เราต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

1. ทำเลที่ตั้ง: หัวใจสำคัญของการอยู่อาศัย

ทำเลที่ตั้งนี่เรียกได้ว่าเป็นอันดับแรกๆ ที่ต้องคิดถึงเลยค่ะ ลองถามตัวเองดูว่าคอนโดที่เราสนใจนั้นอยู่ใกล้กับอะไรบ้าง:
* ที่ทำงาน/โรงเรียน/มหาวิทยาลัย: เดินทางสะดวกไหม ใช้เวลานานแค่ไหน มีรถสาธารณะผ่านหรือเปล่า
* สิ่งอำนวยความสะดวก: ใกล้ห้างสรรพสินค้า ตลาด ร้านสะดวกซื้อ โรงพยาบาล สวนสาธารณะ หรือสถานที่ที่เราใช้ชีวิตประจำวันหรือเปล่า
* การเดินทาง: นอกจากรถส่วนตัวแล้ว มีรถไฟฟ้า รถเมล์ หรือเรือ ให้เลือกใช้ไหม การเดินทางเชื่อมต่อไปยังส่วนอื่นๆ ของเมืองสะดวกแค่ไหน
* สภาพแวดล้อม: บริเวณโดยรอบคอนโดเป็นอย่างไร ปลอดภัย เงียบสงบ หรือคึกคักวุ่นวาย ตรงกับไลฟ์สไตล์ของเราไหม

2. งบประมาณ: กำหนดขอบเขตการลงทุน

เรื่องเงินๆ ทองๆ นี่สำคัญสุดๆ ค่ะ ก่อนจะเริ่มดูคอนโด ควรกำหนดงบประมาณที่ชัดเจนว่าเราสามารถผ่อนชำระได้เดือนละเท่าไหร่ มีเงินดาวน์เท่าไหร่ อย่าลืมเผื่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ตามมาด้วยนะคะ เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง ค่าส่วนกลาง และค่าตกแต่ง
* ราคาคอนโด: เหมาะสมกับกำลังซื้อของเราหรือไม่
* เงินดาวน์: มีเพียงพอไหม หรือต้องวางแผนเก็บเงินเพิ่ม
* ค่าผ่อนรายเดือน: คำนวณดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อนให้ดี จะได้รู้ว่าภาระต่อเดือนเท่าไหร่
* ค่าใช้จ่ายแฝง: อย่าลืมค่าส่วนกลาง ค่าประกันอัคคีภัย และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น

3. ขนาดและรูปแบบห้อง: ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

ลองคิดดูว่าเราอยู่คนเดียว อยู่เป็นคู่ หรือมีครอบครัว ขนาดห้องที่เหมาะสมคือเท่าไหร่ ต้องการกี่ห้องนอน กี่ห้องน้ำ รูปแบบห้องเป็นแบบไหนที่ชอบ มีระเบียงไหม ฟังก์ชันการใช้งานตอบโจทย์เราหรือเปล่า
* จำนวนห้อง: เพียงพอต่อจำนวนผู้อยู่อาศัยและความต้องการของเราหรือไม่
* การจัดวาง: Layout ของห้องเป็นอย่างไร โปร่ง โล่ง หรืออึดอัด ฟังก์ชันการใช้งานเหมาะสมไหม
* วัสดุและการตกแต่ง: คุณภาพของวัสดุเป็นอย่างไร ชอบสไตล์การตกแต่งแบบไหน

4. สิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการ: เพิ่มความสะดวกสบาย

คอนโดสมัยใหม่มักมีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางให้ลูกบ้านได้ใช้ร่วมกัน ลองดูว่าโครงการที่เราสนใจมีอะไรบ้าง และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราหรือไม่ เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส Co-working space สวนหย่อม ระบบรักษาความปลอดภัย ที่จอดรถ
* มีอะไรบ้าง: โครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เราสนใจและได้ใช้งานจริงหรือไม่
* สภาพการใช้งาน: สิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งานหรือไม่
* ค่าส่วนกลาง: ค่าส่วนกลางสมเหตุสมผลกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับหรือไม่

5. ชื่อเสียงและคุณภาพของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์:

การเลือกซื้อคอนโดจากบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือจะช่วยลดความเสี่ยงในหลายๆ ด้าน ลองศึกษาประวัติผลงานโครงการที่ผ่านมา รีวิวจากลูกบ้านเก่า และความมั่นคงของบริษัท
* ประสบการณ์: บริษัทมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการคอนโดมากน้อยแค่ไหน
* ผลงานที่ผ่านมา: โครงการที่ผ่านมามีคุณภาพเป็นอย่างไร มีปัญหาตามมาหรือไม่
* ความน่าเชื่อถือ: บริษัทมีความมั่นคงทางการเงินและมีชื่อเสียงที่ดีหรือไม่

6. กฎระเบียบของโครงการ:

แต่ละโครงการคอนโดจะมีกฎระเบียบที่แตกต่างกันไป ลองสอบถามและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ เช่น การเลี้ยงสัตว์ การจอดรถ การใช้พื้นที่ส่วนกลาง เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถปรับตัวและอยู่ร่วมกับกฎเหล่านั้นได้

7. โอกาสในการลงทุนในอนาคต:

หากมองการณ์ไกล การพิจารณาถึงโอกาสในการปล่อยเช่าหรือขายต่อในอนาคตก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ทำเลที่มีศักยภาพ การคมนาคมสะดวก และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มักจะเป็นที่ต้องการของตลาด

ก่อนตัดสินใจซื้อ อย่าลืม:

* เยี่ยมชมห้องตัวอย่าง: ไปดูห้องตัวอย่างจริง เพื่อสัมผัสบรรยากาศและดูรายละเอียดต่างๆ
* สอบถามข้อมูลให้ละเอียด: อย่าลังเลที่จะถามเจ้าหน้าที่ขายเกี่ยวกับทุกข้อสงสัย
* อ่านสัญญาจะซื้อจะขายอย่างรอบคอบ: ทำความเข้าใจในทุกข้อตกลงก่อนเซ็นสัญญา

การซื้อคอนโดเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลาในการศึกษาและตัดสินใจอย่างรอบคอบ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณได้คอนโดที่ถูกใจและตอบโจทย์นะคะ.

Blog

HOME ดูบ้านหน้าฝน: สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

HOME ดูบ้านหน้าฝน: สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

วางแผนซื้อบ้านช่วงหน้าฝน? มาดูสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้คุณได้บ้านที่ถูกใจ ไม่มีปัญหาน้ำท่วม รั่วซึม พร้อมเคล็ดลับการตรวจเช็คบ้านอย่างละเอียด.

Ideas ตกแต่งระเบียงคอนโดขนาดเล็ก ให้สวย เก๋ และใช้งานได้จริง

Ideas ตกแต่งระเบียงคอนโดขนาดเล็ก ให้สวย เก๋ และใช้งานได้จริง

รวมไอเดียตกแต่งระเบียงคอนโดขนาดเล็กยอดนิยม! พบวิธีจัดระเบียงให้สวยงาม ใช้ประโยชน์ได้จริง แม้มีพื้นที่จำกัด พร้อมคำแนะนำในการเลือกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่เหมาะสม.

Email

contact@laroseproperty.com

Phone

086-440-1768,

065-632-7897

Bangkok, Thailand 

Follow

@laroseproperty

เลือกคอนโดทิศไหนให้ตรงกับ Life Stlye

เลือกคอนโดทิศไหนให้ตรงกับ Life Stlye

⊹ แน่นอนค่ะ!! นอกเหนือจากทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบายและการออกแบบโครงการที่ถูกใจแล้ว การเลือกทิศของคอนโดก็สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมันส่งผลต่อความรู้สึกในการอยู่อาศัย แสงสว่าง อุณหภูมิ และแม้แต่เรื่องของโชคลาภตามความเชื่อส่วนบุคคล มาดูกันว่าแต่ละทิศมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง และทิศไหนจะเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณมากที่สุด

ทิศเหนือ: เย็นสบายตลอดปี แต่แสงน้อยหน่อยนะ

⊹ ข้อดี: ห้องทางทิศเหนือจะได้รับแสงแดดโดยตรงน้อยที่สุด ทำให้ภายในห้องค่อนข้างเย็นสบายตลอดทั้งวัน เหมาะสำหรับคนที่ขี้ร้อน หรือชอบบรรยากาศสงบ ไม่ต้องการแสงแดดแรงๆ รบกวน

⊹ ข้อเสีย: แสงสว่างอาจจะไม่เพียงพอสำหรับคนที่ชอบห้องที่ดูสว่างสดใส อาจจะต้องเปิดไฟในช่วงกลางวันมากกว่าทิศอื่นๆ และอาจจะมีความชื้นมากกว่าในช่วงฤดูฝน

⊹ เหมาะกับ: คนที่ชอบความเงียบสงบ ไม่ชอบอากาศร้อน ทำงานที่บ้านและไม่ต้องการแสงแดดแยงตา หรือคนที่เน้นการพักผ่อนในช่วงกลางวัน

ทิศใต้: ลมดี แสงพอดี ไม่ร้อนจัด

⊹ ข้อดี: ทิศใต้ถือเป็นทิศที่ได้รับความนิยม เพราะมีลมพัดถ่ายเทได้ดี อากาศเย็นสบาย แสงแดดส่องถึงแต่ไม่ร้อนจัดจนเกินไป ทำให้ห้องดูโปร่ง โล่งสบาย และไม่อับชื้น

⊹ ข้อเสีย: ในบางช่วงของวัน อาจจะมีแสงแดดส่องเข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่นานเท่าทิศตะวันตก

⊹ เหมาะกับ: คนที่ชอบห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก มีแสงสว่างเพียงพอ และไม่ร้อนจนเกินไป เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองส่วนใหญ่

ทิศตะวันออก: รับแสงเช้า อากาศสดใส เริ่มต้นวันดีๆ

⊹ ข้อดี: ห้องที่หันไปทางทิศตะวันออกจะได้รับแสงแดดยามเช้า ซึ่งเป็นแสงที่ไม่แรงมากและมีวิตามินดี ช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เหมาะกับการเริ่มต้นวันใหม่

⊹ ข้อเสีย: ในช่วงบ่าย แสงแดดจะค่อยๆ หมดไป ทำให้ห้องอาจจะดูมืดลงบ้าง และในช่วงฤดูร้อน อาจจะได้รับความร้อนในช่วงเช้า

⊹ เหมาะกับ: คนที่ตื่นเช้า ชอบแสงแดดยามเช้า และต้องการห้องที่ได้รับแสงธรรมชาติในช่วงแรกของวัน

⊹ ข้อมูลทรัพย์สินอาจไม่เป็นเอกภาพ: นายหน้าแต่ละรายอาจนำเสนอข้อมูลทรัพย์สินของเราในรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับผู้สนใจได้

ทิศตะวันตก: แดดแรงยามบ่าย ต้องเตรียมตัวรับมือ

⊹ ข้อดี: ห้องทิศตะวันตกจะได้รับแสงแดดโดยตรงในช่วงบ่าย ทำให้ผ้าที่ตากไว้แห้งง่าย

⊹ ข้อเสีย: เป็นทิศที่ร้อนที่สุด เพราะได้รับแสงแดดโดยตรงในช่วงที่อากาศร้อนจัด อาจจะต้องเปิดเครื่องปรับอากาศมากกว่าทิศอื่นๆ ทำให้ค่าไฟสูงขึ้น และเฟอร์นิเจอร์อาจจะเสื่อมสภาพเร็วกว่า

⊹ เหมาะกับ: คนที่ไม่ค่อยอยู่ห้องในช่วงกลางวันถึงบ่าย หรือคนที่ชอบตากผ้าให้แห้งเร็ว แต่ต้องเตรียมรับมือกับความร้อนและค่าไฟที่อาจจะสูงขึ้น

แล้วจะเลือกทิศไหนให้ตรงกับ Life Style ของคุณ? ลองพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้:

⊹ คุณเป็นคนขี้ร้อนหรือไม่: ถ้าขี้ร้อนมาก ควรหลีกเลี่ยงทิศตะวันตก หรือเลือกห้องที่มีฉนวนกันความร้อนที่ดี

⊹ คุณชอบห้องที่สว่างมากน้อยแค่ไหน: ถ้าชอบห้องที่สว่างตลอดวัน ทิศใต้หรือตะวันออกอาจจะเหมาะกว่าทิศเหนือ

⊹ คุณใช้เวลาอยู่ในห้องช่วงไหนมากที่สุด: ถ้าอยู่ห้องช่วงบ่ายถึงเย็น อาจจะต้องพิจารณาเรื่องความร้อนของทิศตะวันตกเป็นพิเศษ

⊹ คุณให้ความสำคัญกับเรื่องลมและการถ่ายเทอากาศแค่ไหน: ทิศใต้เป็นทิศที่ลมพัดดี อากาศถ่ายเทสะดวก

⊹ ความเชื่อส่วนบุคคล: บางคนอาจจะมีความเชื่อเรื่องทิศทางลมและแสงแดดที่ส่งผลต่อโชคลาภและความเป็นสิริมงคล ก็สามารถนำมาพิจารณาได้เช่นกัน

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

⊹ ดูผังโครงการ: ลองดูผังโครงการว่าห้องแต่ละทิศมีวิวเป็นอย่างไร มีตึกอื่นบังแสงบังลมหรือไม่

⊹ สอบถามข้อมูล: สอบถามข้อมูลจากโครงการเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง การระบายความร้อน และทิศทางลมโดยรอบ

⊹ เยี่ยมชมห้องตัวอย่าง: ถ้าเป็นไปได้ ลองเยี่ยมชมห้องตัวอย่างในทิศที่คุณสนใจ เพื่อสัมผัสแสงและลมในช่วงเวลาต่างๆ ของวัน

⊹ การเลือกทิศคอนโดให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีความสุขกับการอยู่อาศัยในระยะยาว ลองพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้คอนโดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณนะคะ!!

laroseproperty.com

🗝️ กุญแจสู่บ้านในฝันของคุณ!!

Contact

(065) 632-7897

(086) 440-1768

Bangkok, Thailand

Follow

@Laroseproperty

Contract สัญญาเปิดและสัญญาปิดต่างกันอย่างไร

Contract สัญญาเปิดและสัญญาปิดต่างกันอย่างไร

*สำหรับใครที่กำลังคิดจะขายหรือปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด ที่ดิน หรืออื่นๆ อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือการทำ สัญญาแต่งตั้งนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างเจ้าของทรัพย์สินกับนายหน้า เพื่อให้ช่วยดำเนินการหาผู้ซื้อหรือผู้เช่าให้

*สัญญาแต่งตั้งนายหน้าฯ หลักๆ มีอยู่ 2 แบบ คือ สัญญาเปิด และ สัญญาปิด แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ลองมาดูกันแบบง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจและเลือกได้ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด

สัญญาเปิด (Open Listing)

*สัญญาเปิด เปรียบเสมือนการ "เปิดกว้าง" ให้นายหน้าหลายๆ รายสามารถเข้ามาช่วยขายหรือปล่อยเช่าทรัพย์สินของเราได้ โดยที่เราไม่ได้ผูกมัดกับนายหน้ารายใดรายหนึ่งเป็นพิเศษ

ข้อดีของสัญญาเปิด:

* มีโอกาสเข้าถึงนายหน้าได้หลากหลาย: เราสามารถติดต่อและทำงานร่วมกับนายหน้าหลายคนได้ ทำให้มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อหรือผู้เช่าได้มากขึ้น

* เพิ่มโอกาสในการขาย/ปล่อยเช่าได้เร็วขึ้น: เมื่อมีนายหน้าหลายคนช่วยกันทำการตลาด โอกาสที่จะเจอผู้สนใจก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย

* มีความยืดหยุ่นสูง: เราสามารถยกเลิกสัญญากับนายหน้ารายใดก็ได้ หากไม่พอใจในการทำงาน หรือหากเราสามารถหาผู้ซื้อ/ผู้เช่าได้เอง โดยไม่ต้องเสียค่านายหน้า

* จ่ายค่านายหน้าเฉพาะนายหน้าที่สามารถหาผู้ซื้อ/ผู้เช่าได้เท่านั้น: หากเราขายหรือปล่อยเช่าทรัพย์สินได้เอง โดยที่ไม่มีนายหน้าคนใดเข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็ไม่ต้องเสียค่านายหน้า

ข้อเสียของสัญญาเปิด:

* นายหน้าอาจไม่ทุ่มเทเท่าที่ควร: เนื่องจากมีการแข่งขันสูง และไม่มั่นใจว่าจะได้รับค่าตอบแทน นายหน้าบางรายอาจไม่ทุ่มเทเวลาและทรัพยากรในการทำการตลาดทรัพย์สินของเรามากนัก

* การจัดการอาจยุ่งยาก: การติดต่อและประสานงานกับนายหน้าหลายๆ รายอาจทำให้เกิดความสับสนและเสียเวลาในการจัดการ

* ข้อมูลทรัพย์สินอาจไม่เป็นเอกภาพ: นายหน้าแต่ละรายอาจนำเสนอข้อมูลทรัพย์สินของเราในรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับผู้สนใจได้

* ข้อมูลทรัพย์สินอาจไม่เป็นเอกภาพ: นายหน้าแต่ละรายอาจนำเสนอข้อมูลทรัพย์สินของเราในรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับผู้สนใจได้

* อาจเกิดความขัดแย้งเรื่องค่านายหน้า: หากมีนายหน้าหลายรายอ้างว่าเป็นผู้พาผู้ซื้อ/ผู้เช่ามา อาจเกิดปัญหาในการตัดสินว่าใครคือผู้มีสิทธิ์ได้รับค่านายหน้า

สัญญาปิด (Exclusive Listing)

สัญญาปิด คือการที่เราตกลงมอบหมายให้นายหน้าเพียงรายเดียวเท่านั้น เป็นผู้มีสิทธิ์ในการขายหรือปล่อยเช่าทรัพย์สินของเราในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา

ข้อดีของสัญญาปิด:

* นายหน้ามีความมุ่งมั่นและทุ่มเท: เนื่องจากนายหน้าได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการดำเนินการ พวกเขาจึงมีแรงจูงใจและทุ่มเทเวลา ทรัพยากร และความพยายามอย่างเต็มที่ในการทำการตลาดทรัพย์สินของเรา

* การจัดการง่ายและเป็นระบบ: เราติดต่อและประสานงานกับนายหน้าเพียงรายเดียว ทำให้การจัดการราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

* ข้อมูลทรัพย์สินมีความเป็นเอกภาพ: นายหน้าจะนำเสนอข้อมูลทรัพย์สินของเราในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานและถูกต้อง

* ได้รับบริการที่ครบวงจร: นายหน้ามักจะให้คำปรึกษา ดูแลเอกสาร และดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย/เช่า อย่างครบถ้วน

ข้อเสียของสัญญาปิด:

* มีทางเลือกของนายหน้าน้อย: เราต้องเลือกนายหน้าเพียงรายเดียว หากเลือกนายหน้าที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้การขาย/ปล่อยเช่าเป็นไปได้ช้า

* อาจเสียค่านายหน้าแม้หาผู้ซื้อ/ผู้เช่าได้เอง: ในบางกรณีของสัญญาปิด หากเราสามารถหาผู้ซื้อ/ผู้เช่าได้เองในช่วงระยะเวลาสัญญา เราก็ยังคงต้องเสียค่านายหน้าให้กับนายหน้าที่เราทำสัญญาด้วย (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในสัญญา)

* การยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดอาจมีค่าใช้จ่าย: หากเราต้องการยกเลิกสัญญาก่อนระยะเวลาที่กำหนด อาจมีค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามที่ระบุไว้ในสัญญา

สรุปง่ายๆ: เลือกแบบไหนดี?

การเลือกว่าจะทำสัญญาแต่งตั้งนายหน้าแบบเปิดหรือแบบปิด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความต้องการของเรา

* สัญญาเปิด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ซื้อ/ผู้เช่าให้มากที่สุด มีเวลาในการจัดการและประสานงานกับนายหน้าหลายราย และมั่นใจว่าสามารถดูแลการตลาดเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง

* สัญญาปิด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย มีนายหน้าที่ไว้วางใจ และต้องการให้นายหน้าทุ่มเทและให้บริการอย่างเต็มที่ในการดำเนินการขาย/ปล่อยเช่า

คำแนะนำเพิ่มเติม:

* อ่านสัญญาอย่างละเอียด: ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเปิดหรือสัญญาปิด ควรอ่านรายละเอียดในสัญญาอย่างรอบคอบ ทำความเข้าใจในเงื่อนไข ข้อตกลง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ชัดเจนก่อนลงนาม

* เลือกนายหน้าที่มีความน่าเชื่อถือและมีประสบการณ์: ควรศึกษาประวัติการทำงาน รีวิวจากลูกค้าเก่า และสอบถามข้อมูลจากคนรู้จัก เพื่อเลือกนายหน้าที่เหมาะสมกับทรัพย์สินของเรา

* เจรจาเงื่อนไขในสัญญา: สามารถเจรจาเรื่องระยะเวลาสัญญา อัตราค่านายหน้า และเงื่อนไขอื่นๆ ในสัญญาให้เป็นที่พอใจทั้งสองฝ่าย

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างสัญญาแต่งตั้งนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แบบเปิดและแบบปิดได้ง่ายขึ้น และสามารถตัดสินใจเลือกรูปแบบสัญญาที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้นะคะ.

laroseproperty.com

🗝️ กุญแจสู่บ้านในฝันของคุณ!!

Contact

(065) 632-7897

(086) 440-1768

Bangkok, Thailand

คอนโด High Rise Vs คอนโด Low Rise

คอนโด High Rise Vs คอนโด Low Rise

คอนโด High Rise Vs คอนโด Low Rise

ก่อนที่จะเลือกซื้อคอนโด เรามาทำเข้าใจ คอนโด High Rise กับ Low Rise ต่างกันอย่างไร ? เลือกแบบไหนที่ใช่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณที่สุด.

คอนโด High Rise คืออะไร ?

คอนโด High Rise คือ คอนโดฯ ที่มีความสูงมากกว่า 23 เมตรขึ้นไป หากนับตามจำนวนชั้นจะมีจำนวนชั้นมากกว่า 20 ชั้น ใครที่ชื่นชอบวิวทิวทัศน์ที่สวยงามก็น่าจะถูกใจคอนโด High Rise แต่ก็ต้องทำใจไว้เลยว่ายิ่งชั้นสูงเท่าใดราคายิ่งแพงขึ้นเท่านั้น คอนโด High Rise ตามกฎหมายแล้วต้องตั้งติดถนนที่มีความกว้างมากกว่า 10 เมตร ซึ่งเป็นประเภทคอนโด ที่พบมากโดยเฉพาะย่านในเมือง

 

คอนโด Low Rise คืออะไร ?

คอนโด low rise ก็คือ คอนโดฯ ที่มีความสูงน้อยกว่า 23 เมตร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีจำนวนชั้นเพียง 8-9 ชั้น ขึ้นอยู่กับความสูงของห้องแต่ละโครงการ สามารถตั้งในซอยได้ แต่ต้องติดถนนที่มีความกว้างมากกว่า 6 เมตร.

ต่างกันอย่างไร

คอนโด High Rise VS Low Rise 

คอนโด High Rise

คอนโด Low Rise

ทำเล

คอนโด High Rise มักตั้งอยู่ในทำเลที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ติดถนนใหญ่ , อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า , อยู่ใจกลางเมือง จึงมีความสะดวกสบายเรื่องการเดินทางมากกว่า

ตามกฎหมายแล้ว มีการกำหนดให้คอนโด High Rise มีความสูงมากกว่า 8 ชั้นขึ้นไป จะต้องสร้างติดถนนที่มีความกว้าง 10 เมตรขึ้นไป.

ราคา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยหลักในการเลือกซื้อคอนโดคือเรื่องราคา เรียกได้ว่าราคามีผลต่อการตัดสินใจเป็นอันดับแรกๆ ในการเลือกซื้อคอนโด ซึ่งคอนโด High Rise จะมีราคาที่สัมพันธ์กับความสูง ยิ่งเลือกชั้นสูงมากเท่าไรราคาก็จะสูงตามไปด้วย และใครที่ต้องการซื้อเพื่อนำไปลงทุนในอนาคต คอนโด High Rise ก็มีแนวโน้มที่จะมีราคาที่สูงขึ้นตามการพัฒนาพื้นที่บริเวณรอบๆ ตัวโครงการ .

พื้นที่ส่วนกลาง

คอนโด High Rise มักจะมีพื้นที่มากกว่า ทำให้มีพื้นที่ส่วนกลางที่หลากหลาย ทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนลอยฟ้า ห้องประชุมส่วนตัว จึงสามารถรองรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของผู้อยู่อาศัยได้ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบพื้นที่จอดรถไว้รองรับผู้อยู่อาศัยอย่างเป็นสัดส่วน.

พื้นที่ความเป็นส่วนตัว

สำหรับคอนโด High Rise จะมีพื้นที่ขนาดใหญ่ มีจำนวนยูนิตและผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก ดังนั้นอาจจะได้ความเป็นส่วนตัวน้อยกว่า แต่ก็มีคอนโด High Rise บางโครงการที่ออกแบบมาให้มียูนิตน้อยๆ เน้นความเป็นส่วนตัว ดังนั้นในส่วนนี้จึงขึ้นอยู่กับคอนโดแต่ละแห่ง.

ทำเล

คอนโด Low Rise ก็ยังมีความสะดวกเช่นกันแต่อาจน้อยกว่า เพราะคอนโด Low Rise มักจะตั้งอยู่ในซอยต่างๆ ตามข้อบังคับทางกฎหมายที่กำหนดให้ต้องมีทางเข้า-ออก ติดถนนที่มีความกว้าง 6 เมตรขึ้นไป หรืออาจต้องอยู่ใกล้กับทางลัด ซึ่งหากใครที่ไม่ให้ความสำคัญเรื่องทำเลมากเท่าไร คอนโด Low Rise ก็เป็นคำตอบที่น่าสนใจ.

ราคา

คอนโด  Low Rise มักจะมีราคาที่ต่ำกว่า เนื่องจากมักจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกตามความจำเป็น จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการซื้อคอนโดเพื่ออยู่อาศัยเองในงบประมาณจำกัดมากกว่า ส่วนในเรื่องการเติบโตของราคาในอนาคตอาจจะมีการเติบโตน้อยกว่า หรือไม่มากเท่าคอนโด High Rise.

 

 

พื้นที่ส่วนกลาง

คอนโด Low Rise จะมีพื้นที่ส่วนกลางน้อยกว่า แต่ส่วนมากทางโครงการมักจะดีไซน์รูปแบบให้เหมาะสมกับจำนวนของผู้อยู่อาศัย ซึ่งข้อนี้เรียกได้ว่ามีความสะดวกสบายไม่แพ้กันเลย.

 

 

พื้นที่ความเป็นส่วนตัว

เนื่องจากคอนโด Low Rise มักตั้งอยู่ในซอยเป็นส่วนใหญ่ และไม่ติดถนนใหญ่มากนัก จึงทำให้ไร้เสียงรบกวนจากรถที่วิ่งผ่านไปมาบวกกับจำนวนยูนิตที่น้อย จึงอาจนับเป็นข้อดีที่ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้มากขึ้นนั่นเอง.

 

จะเห็นได้ว่าคอนโด High Rise และคอนโด Low Rise มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรพิจารณาจากไลฟ์สไตล์ ความต้องการที่ใช่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใช้ประกอบการตัดสินใจ.

ข้อมูล : lh.co.th , grandunity.co.th

รูปภาพ : pinterest

Join

Work With Me

Pin It on Pinterest